11.6.58

10 นิสัยที่ทำให้อ้วนโดยไม่รู้ตัว

ด้วยกิจวัตรประจำวันของคนเราในปัจจุบันถูกเปลี่ยนไปกับระยะเวลาที่เร่งรีบ และการใช้ชีวิตในแต่ละวันที่ถูกจำกัดเอาไว้ด้วยเข็มนาฬิกาทำให้ใครหลายคนเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองมาเป็นการทำร้ายร่างกายของตัวเองโดยที่ไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นการกิน การเดินทาง และรูปแบบการใช้ชีวิตในแต่ละวันนั้นต่างเป็นกิจวัตรที่ทำให้ร่างกายของคุณมีน้ำหนักมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว แต่กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เป็นตอนที่ตาชั่งแสดงน้ำหนักจนทำให้ตกใจนั่นเอง เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าคุณไม่อยากทำร้ายตัวเองไปมากกว่านี้เรามาดูกันเลยดีกว่าว่าอะไรบ้างที่ทำให้คุณอ้วนโดยไม่รู้ตัว!


1. ทานอาหารไม่ดูแคลอรี่ แน่นอนอยู่แล้วล่ะว่าตอนจะทานข้าว หรือจะหาอะไรเข้าปากทั้งทีคุณจะไม่คิดถึงเรื่องปริมาณของแคลอรี่ทั้งนั้น เพราะคิดว่ามันเป็นอาหาร Low fat ไม่มีไขมัน แต่คุณรู้หรือไม่ว่าอาหาร Low fat ที่คุณทานเข้าไปไม่ได้หมายความว่าเป็นอาหารที่มีแคลอรี่ต่ำ แล้วอาหารที่มีไขมันต่ำก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีแป้งน้อย น้ำตาลน้อยนะจ๊ะ ฉะนั้นให้คุณคำนวณปริมาณแคลอรี่ทีทานเข้าไปด้วย


2. ทานอาหารไม่เป็นเวลา แล้วทำอะไรหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกันที่ทานข้าว เมื่อไหร่ที่ถึงเวลาทานข้าวของแต่ละมื้อนั้นก็ควรจะเป็นเวลาทานข้าวเพียงอย่างเดียว ไม่ควรทำกิจกรรมอย่างอื่นในขณะที่คุณกำลังทานข้าว เพราะการที่คุณทานข้าวแล้วไม่รู้ว่าทานเข้าไปในปริมาณเท่าไหร่ก็จะทำให้คุณทานเข้าไปเรื่อยๆ ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ไม่แตกต่างอะไรกับการนั่งกินป้อบคอร์นหรือขนมขบเคี้ยวในตอนที่กำลังดูทีวีเลย เพราะคุณเพลิดเพลินไปกับกิจกรรมอื่นๆ แล้วก็ตักข้าวกินเรื่อยๆ โดยไม่ทันรู้ตัวนั่นเอง


3. ชอบกินของมันหรือของทอด คุณรู้หรือไม่ว่าการทอดมันยิ่งทำให้ปริมาณแคลอรี่ของอาหารเพิ่มขึ้นมาหลายเท่าตัวเลยทีเดียวนะ แต่คนเรามักจะมองข้าม และคิดว่าของทอดนั้นเป็นอาหารอร่อยเลยละเลยที่จะคำนึงถึงเรื่องสุขภาพ ยกตัวอย่างเช่นอาหาร Fast food ยี่ห้อดังทั้งหลายแหล่ มันก็จริงอยู่ที่ของทอดเป็นอะไรที่อร่อย ถูกปาก ถูกใจของใครแต่ละคน แต่หารู้ไม่ว่าของทอดเหล่านี้แหละเป็นตัวการชั้นดีที่ทำให้ไขมันในร่างกายของคุณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ลองเปลี่ยนมาทานแบบต้ม นึ่ง ตุ๋น ก็ไม่เสียหายอะไรนะ


4. ไม่ขยับเขยื้อน ไม่ออกกำลังกาย อย่าเอาข้ออ้างของการไม่มีเวลามาเป็นตัวถ่วงในการออกกำลังกายของคุณเลยดีกว่า เวลาของคนเรานั้นมี 24 ชั่วโมงเท่ากัน อยู่ที่แต่ละคนว่าจะมีการบริหารจัดการกับเวลาอย่างไร สำหรับมนุษย์เงินเดือนหรือว่าใครหลายคนที่จะต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำนั้นลองทำงานให้เสร็จจากที่ทำงานไม่ต้องเอากลับมาทำที่บ้าน เลิกคิดเรื่องงานเมื่อเดินออกจากบริษัท แล้วเปลี่ยนมาเป็นคิดถึงเรื่องสุขภาพของตัวเองแทน แล้วคุณจะรู้ว่าร่างกายของคุณต้องการให้คุณออกกำลังกายมากกว่าการนั่งบนเก้าอี้ทำงาน


5. ไม่จำกัดปริมาณอาหารที่ทานเข้าไป ถึงแม้ว่าอาหารบางชนิดจะมีแคลอรี่ต่ำ มันก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องทานมันเข้าไปมากๆ จนร่างกายเผาผลาญไม่ทัน และบางคนก็จำกัดปริมาณอาหาร แต่จำกัดในปริมาณที่มากเกินกว่าที่ร่างกายควรจะได้รับ เพราะฉะนั้นคุณควรจะหาจุดสมดุลให้กับจานกับข้าวที่คุณทานเข้าไปในแต่ละวัน ด้วยการจำกัดปริมาณสัดส่วนของอาหารให้พอเหมาะ ไม่มาก ไม่น้อย จนเกินไป


6. ดื่มแอลกอฮอล์แทนน้ำ นี่แหละคือตัวปัญหาของคนที่ชอบเที่ยวกลางคืน และไม่ดูแลรักษาสุขภาพของร่างกายตัวเองด้วยการดื่มแอลกอฮอล์ ด้วยเครื่องดื่มทั้งหลายที่คุณดื่มมันเข้าไปมีปริมาณแคลอรี่เป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังทำให้ระบบเผาผลาญของคุณทำงานผิดปกติ แล้วยังทำให้สมองเสื่อมง่าย และตับแข็งก็จะตามมาในไม่ช้า มีหรือไขมันรอบเอวจะไม่ถามหา ลองสังเกตจากการที่คุณดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปในปริมาณที่มากดูสิ วันนั้นร่างกายของคุณจะบวมขึ้นซึ่งเกิดจากการบวมน้ำเพราะเซลล์ในร่างกายต้องกักเก็บน้ำเอาไว้ทดแทนปริมาณน้ำที่เสียไปกับการถ่ายปัสสาวะนั่นแหละ


7. ตบท้ายแต่ละมื้อด้วยของหวาน คนไทยเรามีอาหารหลากหลายประเภทให้เราเลือกทาน ซึ่งในแต่ละมื้อนั้นเราจะต้องตบ้ทายด้วยของหวานอันโอชะอยู่เสมอ เพราะเราเชื่อกันว่าการทานของหวานตบท้ายนั้นจะช่วยให้ร่างกายไม่หิวอีก และถือว่าเป็นการล้างปากจากอาหารคาวที่ทานเข้าไปอีกด้วย ใช่เลยมันทำให้คุณไม่หิวอีก เพราะมันมีแคลอรี่มาก ร่างกายของคุณก็ย่อมต้องการเวลาในการย่อยของหวานเหล่านั้นบวกกับอาหารคาวก่อนหน้านั้นด้วย คิดดูเอาก็แล้วกันว่าถ้าหากร่างกายเอาพลังงานจากอาหารที่ทานเข้าไปใช้ไม่หมด แล้วจะเอาไปเก็บไว้ที่ไหนกันล่ะ?


8. บังคับตัวเองให้ทานข้าวให้หมดจาน ในตอนเด็กๆ หลายคนจะต้องโดนคุณแม่บังคับให้ทานข้าวหมดจาน เพราะสงสารชาวนาเป็นอย่างแน่นอน จนทำให้ในตอนโตติดนิสัยที่จะต้องทานข้าวให้หมดจานทุกครั้ง ถ้าหากว่าทานไม่หมดก็จะรู้สึกผิดกับชาวนาเป็นแน่แท้ แต่เดี๋ยวก่อน อย่าพึ่งสงสารคนอื่นสงสารตัวเองก่อนดีกว่า ถ้าหากว่าคุณกลัวทานไม่หมดก็ตักทีละน้อย ถ้าไม่อิ่มก็ตักเพิ่มใหม่ได้ ไม่จำเป็นต้องตักข้าวเต็มทัพพีแล้วมาโทษตัวเองว่าไม่สงสารชาวนาก็ได้


9. เครียดแล้วต้องกินให้ได้ หรือบางคนชอบให้รางวัลตัวเองด้วยการกินนั่นเอง อาการเครียดแล้วจะต้องหาอะไรทานนั้นอาจจะเป็นเพราะฮอร์โมนในร่างกายของคุณส่งผลต่อระบบย่อยอาหารของคุณก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นคุณควรทำจิตใจให้ร่าเริง แต่ถ้าหากว่าหลีกเลี่ยงกับความเครียดไม่ได้ก็หลีกเลี่ยงกับการกินเปลี่ยนไปเป็นดื่มน้ำหรือทานอาหารพวก Clean food ดีกว่า ส่วนคนที่ให้รางวัลตัวเองด้วยการกินนั้นขอให้คุณยกเลิกการให้รางวัลนี้ไปได้เลย


10. ชอบบุฟเฟต์ เป็นคนชอบความคุ้มค่ากับการเสียเงินให้กับทางร้านอาหาร คุณอย่าลืมว่าการทานอาหารบุฟเฟต์นั้นไม่ได้ผิดอะไรเลย แต่ถ้าหากว่าคุณกินเยอะนั้นเป็นความผิดของคุณแล้วล่ะ เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่าอาหารบุฟเฟต์นั้นคืออาหารที่คุณจะต้องให้บริการตัวเอง เดินไปตักด้วยตัวเอง หรือที่เราเรียกกันว่า Service yourself แล้วมันก็ไม่ได้มีความหมายว่า กินให้จุใจ หรือเอาให้คุ้ม! เอาให้พุงกาง! ตามที่คนส่วนใหญ่เข้าใจนะ ถ้าวันนี้คุณมีแผนจะไปกินบุฟเฟต์แล้วล่ะก็ ขอให้คิดใหม่ และตอบกับตัวเองอีกครั้งว่ายังจะไป แล้วยังจะกินให้พุงกางเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า? ถ้าใช่ อย่ากินเลยดีกว่า




ถ้าหากว่าคุณมีแต่ละข้ออยู่ หรือบางคนอาจจะมีหลายข้อเลยทีเดียว มันก็ถึงเวลาแล้วล่ะที่คุณจะต้องเลิกนิสัยเหล่านี้เพื่อไม่ให้น้ำหนักมากเกินไปกว่านี้ และเพื่อเป็นการไม่ให้ร่างกายของคุณต้องแบกรับไขมันให้เยอะไปมากกว่านี้ คุณเองก็ควรลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเหล่านี้ออกไปเพื่อสิ่งที่ดีกว่า ร่างกายที่ดีกว่า และสุขภาพที่ดีกว่าของคุณเอง

1.6.58

อันตรายที่มาพร้อมกับยาลดน้ำหนักแต่ละประเภท

ในปัจจุบัน ภาวะน้ำหนักเกิน หรือโรคอ้วนเป็นปัญหาที่พบมากขึ้น และเป็นปัญหาที่ต้องได้
รับการแก้ไขอย่างเร็วที่สุด เนื่องจากคนที่มีน้ำหนักเกินนั้น จะมีความเสี่ยงในการเกิดโรคอื่นๆตามมา ไม่ว่าจะเป็นโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง แต่ด้วยไลฟ์สไตล์ของคนยุคนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยความรีบเร่ง ไม่มีเวลาออกกำลังกาย และละเลยที่จะเลือกรับประทานอาหารแคลอรี่ต่ำ การใช้ยาลดความอ้วน จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่นำมาใช้เป็นตัวช่วยในการลดความอ้วน แต่ในปัจจุบัน มียาลดความอ้วนกลุ่มใหม่ๆผลิตออกมามากมาย และส่วนมาก ก็ยังไม่ได้มีการรับรองความปลอดภัย ผู้บริโภคจึงควรระมัดระวังในการเลือกใช้เป็นพิเศษ

ชนิดของยาลดความอ้วนที่อาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย มีหลากหลายชนิด แต่ที่สามารถพบเจอได้บ่อยในท้องตลาด สามารถแบ่งประเภทตามการออกฤทธิ์ได้ดังนี้


1. ยาระบาย มีผู้ผลิตหลายราย นำยาระบายมาเป็นส่วนผสมในการผลิตยาลดความอ้วน เนื่องจากยาระบายจะกระตุ้นลำไส้ใหญ่ให้บีบตัว ทำให้ถ่ายมากหรือบ่อยขึ้น ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าน้ำหนักลดลง แต่แท้จริงแล้วน้ำหนักที่ลดลงไปนั้นคือน้ำหนักของกากอาหาร หรืออุจจาระที่ตกค้างอยู่ในลำไส้ ไม่ใช่น้ำหนักของไขมันแต่อย่างใด  การใช้ยาระบายบ่อยๆ นอกจากจะทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่แล้ว เมื่อใช้ติดต่อกันนาน ๆ อาจเกิดอาการช็อคเนื่องจากร่างกายขาดน้ำกะทันหันได้



2. ยาลดความอยากอาหาร ยาชนิดนี้จะไปกดสมอง ทำให้ประสาทส่วนที่รับความรู้สึกหิวไม่ทำงาน ผลข้างเคียงจากยากลุ่มนี้ เช่น นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย ปวดศีรษะ ปากแห้ง ใจสั่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก บางรายอาจมีอาการสับสน ประสาทหลอน ก้าวร้าว หัวใจเต้นผิดปกติ หรือถึงขั้น ชัก หมดสติ หากทานยากลุ่มนี้ติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจเกิดภาวะพึ่งยา ทำให้ต้องทานยาบ่อยๆ เพราะรู้สึกว่าขาดยาไม่ได้  และหากหยุดยาอย่างทันทีทันใดก็อาจเกิดภาวะถอนยา โดยอาจเกิดภาวะทางจิตอย่างเฉียบพลัน สับสน หวาดระแวง และประสาทหลอน เป็นต้น

โดยยาชนิดนี้มักจัดมาให้คู่กับยาลดการหลั่งของกรดในกระเพาะอาหาร ซึ่งใช้เพื่อลดผลข้างเคียงที่อาจเกิดจากยาลดความอยากอาหาร เพราะการที่ร่างกายไม่ได้รับอาหารเป็นเวลานาน แต่ยังมีกรดหลั่งเพื่อย่อยอาหาร อาจเป็นเหตุให้เกิดโรคกระเพาะ จึงให้ยานี้เพื่อลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมยาลดน้ำหนักบางชนิด จึงจัดมาเป็นชุดๆ และจะต้องทานพร้อมกัน ห้ามขาดตัวใดตัวหนึ่ง


3. ยาขับปัสสาวะ การใช้ยาขับปัสสาวะเพื่อขับน้ำออกจากร่างกาย จะมีผลให้น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วหลังการใช้ยา แต่น้ำหนักที่ลดลงก็คือน้ำหนักของน้ำในร่างกาย ไม่ใช่น้ำหนักของไขมัน ดังนั้นยาขับปัสสาวะจึงไม่มีผลใดๆในด้านการลดความอ้วนเลย  อีกทั้งการใช้ยาขับปัสสาวะยังมีผลทำให้ร่างกายอ่อนเพลียเนื่องจากเสียสมดุลจากการขาดเกลือแร่ เป็นยาที่ไม่สมควรนำมาใช้ในการลดน้ำหนักเป็นอย่างยิ่ง


4. ยาไทรอยด์ฮอร์โมน ใช้รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำกว่าปกติ เป็นยาที่ช่วยเพิ่มการ
เผาผลาญพลังงานในร่างกาย น้ำหนักจึงลดลงอย่างรวดเร็วหลังใช้ยา แต่น้ำหนักที่ลดลงเป็นน้ำหนักที่เกิดจากมวลรวมของร่างกาย ไม่ใช่น้ำหนักของไขมัน ดังนั้นยานี้จึงมีผลข้างเคียงสูงมาก และยังเป็นอันตรายต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดอีกด้วย ผลข้างเคียงของยา เช่น โมโหง่าย อุจจาระบ่อย ใจสั่น อ่อนเพลีย กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นต้น


5. ยาลดอัตราการเต้นของหัวใจ โดยปกติแล้ว ยากลุ่มนี้จะใช้ในการรักษาความดันโลหิตสูง และการเต้นของหัวใจผิดจังหวะ จึงนิยมให้ยาชนิดนี้ร่วมกับยาชุด เนื่องจากยาจะลดอาการใจสั่นที่เกิดจากยาลดความอยากอาหาร ผลข้างเคียงของยา เช่น วิงเวียนศีรษะ ความดันโลหิตต่ำ เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย หัวใจเต้นช้า เป็นลม เป็นต้น


6. ยานอนหลับ  เนื่องจากยาลดความอยากอาหารอาจทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ ดังนั้นจึงมีการจ่ายยานอนหลับร่วมกับยาชุดด้วย นอกจากจะช่วยรักษาอาการข้างเคียงจากยาชุดชนิดอื่นๆแล้ว ยานอนหลับจะทำให้เกิดอาการง่วงซึมทั้งวัน ทำให้ลดความหิวหรือความอยากอาหารลงได้  ยานอนหลับที่จัดเป็นวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ใช้บ่อยๆอาจเกิดอาการข้างเคียง เช่น  หายใจไม่สะดวก ความดันต่ำ เกิดอาการดื้อยา นอนไม่หลับเมื่อไม่ได้ใช้ยา เป็นต้น


อย่างไรก็ตาม วิธีที่ได้ผลดีที่สุดในการลดน้ำหนักนั้น จะต้องประกอบไปด้วยการควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การใช้ยาลดความอ้วนสามารถนำมาใช้เพียงเพื่อเสริมวิธีการที่กล่าวมาเท่านั้น  การใช้ยาลดความอ้วนอย่างเดียว ไม่สามารถทำให้น้ำหนักลดลงอย่างถาวรและปลอดภัยได้ การลดน้ำหนักให้ได้ผลจึงต้องมีการควบคุมอาหาร และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมร่วมด้วย นอกจากนี้ยาลดความอ้วนบางชนิดยังก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่ร้ายแรงอย่างคาดไม่ถึง การใช้ยาลดความอ้วนให้ผลแค่เพียงในระยะสั้นเท่านั้น เมื่อเลิกใช้ยาก็จะมีโอกาสสูงในการกลับมาอ้วนเหมือนเดิม หรือที่เรียกว่า YoYo Effect ดังนั้นผู้ที่ต้องการใช้ยาควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการใช้ทุกครั้ง


ขอแนะนำอาหารเสริม BALANCE D + S
ไม่มีสารกดประสาทส่วนกลาง ลดน้ำหนักอย่างปลอดภัย
เน้นคัดสรรสารสกัดจากธรรมชาติ มีอย. ไม่โยโย่



www.balancedswm.com
home